ในการจัดการเรียนการสอน ทางรัฐบาลพยายามมาต่อเนื่องเป็นเวลาหลายสิบปีแล้ว ที่จะทำให้ตัวเลขระหว่างนักเรียนสายสามัญกับตัวเลขนักศึกษาสายอาชีพหรืออาชีวศึกษา อยู่ที่ระหว่าง 50 : 50 ตัวเลขนี้พอจะเห็นใกล้เคียงมากที่สุดก็เมื่อสมัย ดร.ชัยพฤกษ์ เสรีรักษ์ และ ดร.สุเทพ ชิตยวงษ์ ดำรงตำแหน่งเลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ที่ตัวเลขจะอยู่ที่ 60 : 40 แต่หลังจากนั้นตัวเลขเหล่านี้ก็ไม่ค่อยได้รับการพูดถึงและจริงจังเท่าที่ควร ตัวเลขเหล่านี้สำคัญอย่างไร สำคัญต่อการพัฒนาประเทศแน่นอน เพราะต้องการกำลังคนสายอาชีพเขามาพัฒนาประเทศ และเป็นที่ต้องการของตลาดแรงงานอย่างแท้จริง จบมาแล้วมีงานทำรองรับ และ เงินรายได้สูงกว่าที่กระทรวงแรงงานการันตีเบื้องต้น
.
ปัญหาอยู่ที่พ่อแม่ผู้ปกครองไม่กล้าส่งบุตรหลานมาเรียนในสายอาชีพ เนื่องจากติดภาพลบเมื่อครั้งอดีตที่มีการยกพวกตีกัน จนเป็นเหตุให้มีการสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สิน แต่ในช่วง 2 เลขาธิการ สอศ.ได้พยายามปรับภาพลักษณ์มีการจัดการเรียนการสอนในรูปแบบทวิภาคี คือนักศึกษาเรียนที่สถานประกอบการได้เรียนรู้เทคโนโลยีสมัยใหม่ มีเงินรายได้ระหว่างเรียน หากฝีมือดีทักษะใช้ได้ เมื่อสำเร็จการศึกษาแล้วนักศึกษาเหล่านี้ทำงานในสถานประกอบการเหล่านั้นได้ทันที มาในช่วงหลัง อาชีวศึกษามีการปรับภาพลักษณ์ในการเรียนการสอนเป็นที่น่าพอใจมากยิ่งขึ้น รวมถึง มีการปิดจุดอ่อนของเหล่านักศึกษาอาชีวศึกษาไทยที่สถานประกอบการบอกมาเสมอ นั่นคือเรื่องทักษะ นักศึกษาไทยเราไม่แพ้ใคร แต่ว่าเราจะไปแพ้เขาไม่สามารถก้าวขึ้นไปเป็นหัวหน้างานได้นั้นคือเรื่องทักษะภาษา ซึ่งตรงนี้มีการเติมเต็มเรียบร้อยแล้ว
.
เป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดแล้ว ที่พ่อแม่ผู้ปกครองเปิดใจส่งบุตรหลานไปเรียนสายอาชีพ เพราะการเรียนการสอนในยุคนี้มีการพัฒนาไปมาก มีเงินระหว่างเรียน ลดภาระของผู้ปกครองได้เป็นอย่างดี ที่สำคัญหากเราพัฒนาไปถึงขั้นเมื่อสำเร็จการศึกษาไม่ต้องออกไปเดินหางาน เพราะมีแต่สถานประกอบการเปิดประตูรอต้อนรับอยู่นั่นเอง